กลุ่ม G30 แนะแก้กฎเหล็กเปิดช่องระดมทุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว คาดเพิ่มขึ้น 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี"63 กลุ่ม G30 ซึ่งเป็นกลุ่มนโยบายการเงิน ภายใต้การนำของนายฌอง คล็อด ทริเชต์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป ออกรายงานที่ระบุว่า ความต้องการเงินลงทุนระยะยาวของกลุ่มประเทศร่ำรวยสุดในโลก อาจเพิ่มขึ้นจากระดับ 11.7 ล้านล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 18.8 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 7 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังแนะนำให้สำนักงานกำกับภาคการเงินของประเทศต่างๆ ปรับปรุงบรรษัทภิบาลของกองทุนบำเหน็จบำนาญ พัฒนาตลาดหุ้นกู้ และหาวิธีทางต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารเข้าซื้อหุ้นกู้ แทนพันธบัตรรัฐบาล นายทริเชต์ ระบุว่า เรื่องดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า โลกจำเป็นต้องมีการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา วิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) เคหะ และการขยายธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ในการขยายตัวของประชากร ที่ผ่านมา บรรดาเจ้าหน้าที่คุมกฎระเบียบโลก พากันหาทางที่จะทำให้ระบบการเงินมีความปลอดภัยมากขึ้น นับแต่เกิดการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้่ง อิงค์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ ในปี 2551 จุดชนวนให้เกิดวิกฤติการเงินโลกในเวลาต่อมา รายงานของ G30 ระบุด้วยว่า เงินทุน และสภาพคล่องที่เพิ่มมากขึ้น อาจจะช่วยสร้างกำแพงป้องกันให้กับการลงทุนในระยะยาวได้ และบรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย ควรพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด้วย ขณะที่นายเอแดร์ เทอร์เนอร์ ประธานกรรมการบริหารสำนักงานบริการการเงินอังกฤษ แถลงว่า ข้อเสนอบางข้อของกลุ่มG30 อาจสร้างความท้าทาย หรือทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้นมา และต้องใช้เวลากว่าที่จะมีการนำไปปฏิบัติ แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการประเมินข้อเสนอเหล่านี้อย่างระมัดระวัง เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของการกระทำที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งในการจัดหาการเงินระยะยาว ทั้งนี้ กลุ่ม G30 เป็นการรวมตัวกันของผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มธนาคารเอกชน รวมถึว โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ และบังโค แซนแทนเดอร์ นอกเหนือจากผู้ว่าการธนาคารกลาง รวมถึง นายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบีคนปัจจุบัน นักการเมือง และนักวิชาการ เพื่อหารือถึงเรื่องนโยบายการเงิน